นิสัยฝ่ายวิญญาณ การภาวนาใคร่ครวญ
การทำงาน โรงเรียน ความสัมพันธ์ ปัญหาสุขภาพ ใบแจ้งหนี้ โรคระบาดทั่วโลก ด้วยเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เป็นเรื่องง่ายที่เราจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปจากสิ่งที่เราต้องการให้ชีวิตของเราข้องเกี่ยวอยู่จริงๆ ดังนั้น หยุดสักครู่แล้วหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่คุณหายใจออก ให้จินตนาการว่าเรากำลังทิ้งวางความกังวลหรือสิ่งรบกวนใดๆ ก็ตามที่กำลังแย่งกันดึงความสนใจของคุณอยู่ จากนั้น จดจ่อที่คำเหล่านี้ “พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า และลมหายใจขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า” (โยบ33:4; THSV11)
คิดถึงข้อนั้นสักครู่ อ่านซ้ำช้าๆ และใส่ใจในทุกๆ คำในขณะที่คุณใคร่ครวญข้อนั้น ให้พิจารณาสิ่งนี้: ลมหายใจของคุณดำรงอยู่โดยพระองค์ผู้ทรงระบายลมปราณให้คุณได้มีชีวิตอยู่ แม้ว่าชีวิตอาจรู้สึกท่วมทันในบางครั้ง แต่คุณไม่เคยห่างไกลจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างและได้ทรงเรียกคุณตามชื่อ พระเจ้าสั่งให้โยชูวา “อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะทำตามข้อความทุกประการที่เขียนไว้นั้น แล้วเจ้าจะมีความเจริญ และประสบความสำเร็จ” (โยชูวา 1:8)
หยุดสักครู่อีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่คุณเพิ่งผ่านมาคือตัวอย่างง่ายๆ ของการภาวนาใคร่ครวญตามแบบพระคัมภีร์ การภาวนาใคร่ครวญถูกอ้างถึงหลายครั้งในพระคัมภีร์ เพื่อให้ผู้ติดตามพระเจ้ากลับมาจดจ่อและใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ ดาวิดกล่าวว่า “ข้าพระองค์จะตรึกตรองข้อบังคับของพระองค์ จะใส่ใจในวิถีทั้งหลายของพระองค์” (สดุดี 119:15) การภาวนาใคร่ครวญไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ด้วยกำลังของเราเอง มันเกี่ยวข้องกับการเข้าไปใกลัพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงสำแดงความคิดและวิถีทางของพระองค์ให้
เรารู้ “ขอให้การภาวนาของข้าเป็นสิ่งที่พอพระทัย ข้ายินดีในพระยาห์เวห์” (สดุดี 104:34)
การหาเวลาปลีกวิเวก เพื่อใช้เวลาที่เป็นส่วนตัวในการสงบจิตใจในที่สงบเงียบ ทั้งเวลาและสถานที่ เพื่ออ่านพระคัมภีร์ที่ได้กำหนดไว้ในแต่ละวัน และอธิษฐานเผื่อพี่น้องของเราตามรายชื่อที่ระบุไว้ในวันนั้น อาจจะเป็นส่วนตัวหรือเป็นครอบครัวก็ได้ ตามที่จะสามารถทำได้ ทิ้งภารกิจและความวุ่นวายในเวลานั้น เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า สำรวจตน นับเป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะสำรวจตนว่า มีอะไรที่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เรากระทำแต่เราไม่ได้ทำมีอะไรที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าแต่เรายังกระทำอยู่ อะไรก็ตามที่นำชีวิตเราไปสู่การล่วงละเมิดต่อคำสอนของพระองค์ และเมื่อไรก็ตามที่เราละเลยต่อเพื่อนบ้านผู้ยากไร้ ด้อยโอกาส ไม่ได้ช่วยเหลือเขา จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะสำรวจตนอย่างจริงจัง (สุภาษิต 3:27-28, ลูกา 19:1-10) เมื่อทราบว่าเราได้กระทำผิดต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนบ้าน จะเป็นการจงใจหรือกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตามที่ออกมาในความคิด คำพูด และการกระทำ เราจะสารภาพบาปต่อพระเจ้า เพื่อขอการยกโทษจากพระองค์ โดยเชื่อในพระสัญญาของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9 เทียบ มีคาห์ 7:18-19) และพระองค์จะไม่คิดถึงความบาปของเราอีกถ้าเราสามารถปฏิบัติตามที่ได้กล่าวมา สิ่งที่จะทำให้ชีวิตจิตวิญญาณของเราได้รับก็คือ “สันติสุข” (Peace) จะได้รับตามพระสัญญาขององค์พระเยซูคริสต์ “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้นเราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27)
การภาวนาใคร่ครวญตามแบบพระคัมภีร์ช่วยให้เรามองเห็นสถานการณ์ของเราจากมุมมองที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเรากำลังยอมให้สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอิทธิพลต่อมุมมองของเรา เมื่อเราเลือกที่จะจัดเวลาเพื่อใคร่ครวญพระคัมภีร์ เราก็กำลังเลือกที่จะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของเราไปที่พระเจ้าและพระคำของพระองค์ และออกจากการโฟกัสที่ตัวเราและโลกของเรา เรากำลังยอมให้พระเจ้าทรเปลี่ยนแปลงความคิดของเราและปรับมุมมองโลกทัศน์ของเราใหม่ ดังนั้น ในขณะที่คุณเตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิตสัปดาห์ข้างหน้า ให้ลองตั้งใจที่จะแก้ไขความคิดของคุณเกี่ยวกับพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ในทุกๆ วัน ขอสันติสุขของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราดำรงอยู่กับท่านเถิด
โดย ศจ.สันติ แดงเรือน