top

เวลาแห่งการใคร่ครวญและพิจารณา

เมื่อถึงเดือนแห่งเยาวชนและการศึกษาพระวจนะ นอกจากเราทั้งหลายจะเห็นความสำคัญของเยาวชนและการศึกษาพระ

วจนะของพระเจ้าแล้ว เราควรจะจัดเวลาเพื่อการพิจารณา ใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระคัมภีร์เตือนสอนเราเพื่อนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตตามพระทัย และพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยเหมือนอย่างพระวจนะข้อนี้ ปัญญาจารย์ 7:14 ที่บอกว่า ‘เมื่อเวลามีความเจริญก็จงชื่นชมยินดี แต่เมื่อถึงเวลาอับจนก็จงพินิจพิจารณา พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งสองอย่าง เพื่อมนุษย์จะไม่ต้นได้ว่า เมื่อเขาล่วงไปแล้วจะมีอะไรมา’

 

กษัตริย์ซาโลมอนเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้ ท่านเขียนพระคัมภีร์ 3 เล่มในเวลาที่แตกต่างกัน

– ในวัยหนุ่ม ซาโลมอนมองโลกด้วยความหวานชื่น จึงเขียนบทเพลงแห่งความรัก เพลงซาโลมอน

– ในวัยกลางคน ท่านมองโลกด้วยความเป็นจริง จึงเขียนหนังสือสุภาษิต เพื่อเป็นบทเรียนเพื่อสอนคนอื่น

– ในวัยชรา เป็นเวลาแห่งความท้อแท้และหมดหวังในชีวิตของท่าน ท่านจึงเขียนหนังสือปัญญาจารย์เล่มนี้

 

ถ้าจะบอกว่าชีวิตคนเราย่อมมี 2 ด้าน เราจะเปรียบชีวิตเป็นเหมือนอะไรดี?

-บางคนบอกว่าชีวิตเป็นเหมือนความฝัน Life is but a dream

– บางคนบอก ชีวิตเปรียบดั่งทะเล มีทั้งสงบราบรื่นและปั่นป่วน

-บางคนบอกว่าชีวิตเหมือนกับเหรียญบาท ที่มี 2 หน้า

และเราจะเปรียบชีวิตของเราเป็นเหมือนอะไรดี?

 

 

ปัญญาจารย์ 3:2-8 ซาโลมอนได้กล่าวถึงวาระ ซึ่งเป็นความจริงในชีวิตของเราทั้งหลายทุกคนว่า

“มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์

มีวาระเกิด และวาระตาย

มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง

มีวาระม่า และวาระรักษาให้หาย

มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น

มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ

มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ

มีวาระโยนหินทึ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน

มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด

มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย

วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป

มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ

วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด

มีวาระรัก และวาระเกลียด

วาระสงคราม และวาระสันติ’

 

 

ดังนั้นความจริงจึงไม่มีใครในโลกที่มีชีวิตอยู่เพียงด้านเดียว คือมีความสุขอย่างเตี๋ยว  ชีวิตก็อาจจะเบื่อแย่ หรือถ้ามีความทุกข์อย่างเดียว ก็เกรงว่าจะขมยื่นจนทนไม่ไหว ดังเช่นที่ปัญญาจารย์ 7:14 บอกไว้ว่า ‘เมื่อเวลามีความเจริญก็จงยื่นชมยินดี แต่เมื่อถึงเวลาอับจนก็จงพินิจพิจารณา พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งสองอย่าง เพื่อมนุษย์จะไม่คันได้ว่า เมื่อเขาล่วงไปแล้วจะมีอะไรมา’ จุดประสงค์แห่งบทเรียนต่าง ๆ ที่พระวจนะของพระเจ้าสอนและเรานำไปปรับใช้ ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราแต่ละคน ก็เพื่อ…

 

 

– เพื่อการพิจารณา

กษัตริย์ซาโลมอนตรัสว่า เวลาที่เจริญรุ่งเรือง มั่งมีศรีสุข จงชื่นชมยินดี อาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ยากเลย เราจะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงเยอะแยะ เหมือนที่คนไทยมักจะพูดกันว่ามีเงินก็นับเป็นน้อง มีทองก็นับเป็นพี่ เวลาเช่นนี้แหละที่พระเจ้าต้องการให้เราพิจารณาดูว่า ความสำเร็จหรือสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นหรือที่เราได้มานั้นเป็นเพราะพระเจ้าหรือเพราะตัวเรา และเมื่อเรารู้ว่าเพราะพระเจ้า เราจะตอบสนองต่อพระองค์ในชีวิตประจำวันของเรา อย่างไร? เราคงต้องพิจารณา และนอกจากจะเพื่อการพิจารณาแล้ว ยัง

 

– เพื่อการค้นพบ

ขอให้สังเกตดูในพระคัมภีร์ตอนนี้ที่มีคำว่า ถึงเวลาอับจนเพื่อมนุษย์จะค้นพบว่า เมื่อเขาส่วงไปแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลายคนไม่พบสัจธรรมในข้อนี้ชีวิตจึงปราศจากความหมาย แต่พระเจ้าทรงโปรดให้มีประสบการณ์ทั้ง 2 ด้าน ก็เพื่อคนของพระองค์จะมีความสมดุลในชีวิต เช่นเดียวกับที่เครื่องบินมีปีก 2 ข้างเพื่อถ่วงน้ำหนัก และบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ก็มี 2 ด้าน คือ สุขและทุกข์ฉันนั้น

 

สุภาษิต 30:8-9 อากูร์จึงไต้อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ขออย่าให้ตัวท่านยากจนเกินไป  เพื่อจะไม่ตัดพ้อต่อว่ากล่าวหาพระเจ้า และขออย่าให้มีความร่ำรวยจนเกินไป เพื่อจะไม่ลืมพระองค์ ดังนั้นจึงหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าเตือนแห่งเยาวขนและการศึกษาพระวจนะ เราจะสามารถจัดเวลาเพื่อการพิจารณาใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระคัมภีร์เตือนสอนเรา เพื่อเราจะนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ตามพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าต่อไป

 

โดย ศจ.ทวิพงศ์ พันธุพงศ์