เกียรติยศของพระเจ้า His Majesty
เกียรติยศของพระเจ้า His Majesty
"Wisdom is better than foolishness, just as light is better than darkness. The wise can see where they are going, and fools cannot." ปัญญาจารย์ 2:13-14
ความวุ่นวายในชีวิตทำให้เราแทบจะไม่มีโอกาสได้เงยหน้ามองท้องฟ้า ในยามค่ำคืนที่มืดมิด ดูดวงดาวส่องแสงประกายระยิบระยับประดับเต็มผืนฟ้า
กษัตริย์ดาวิด ประทับอยู่ที่มุมหนึ่งในพระราชวัง ในค่ำคืนดึกสงัด ท่ามกลางความเงียบสงบ ทอดพระเนตรท้องฟ้ากว้างไกล เห็นดวงดาวทอแสงประกายสุกใส มากมายจนไม่สามารถนับได้ครบดวง กระจายจากขอบฟ้าไปสู่ขอบฟ้า
ความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ของจักรวาลที่พระเจ้าทรงสร้าง ทำให้กษัตริย์ดาวิดเกิดความรู้สึกบันดาลใจเขียน สดุดีบทที่ 8 กษัตริย์ดาวิดมองฟ้าด้วยความสำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และถามตัวเองว่า มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า
มนุษย์คือใครกันหนอที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงให้ความสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบความยิ่งใหญ่ของจักรวาลที่พระเจ้าทรงสร้างแล้ว มนุษย์มีขนาดเพียงแค่เศษธุลีเล็กๆเท่านั้น แต่ทำไมพระเจ้าต้องใส่ใจกับชีวิตมนุษย์เล็กๆ เพราะพระเจ้าทรงรักโลกและรักมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างอย่างมาก พระองค์สร้างมนุษย์อย่างตั้งใจให้แตกต่างจากสรรพสิ่งอื่นๆในจักรวาล
พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์เหมือนสร้างสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ด้วยความตั้งใจเป็นพิเศษ พระเจ้าทรงประทานส่วนหนึ่งของพระเกียรติยศของพระเจ้า (His majesty) สวมทับมนุษย์ พระเจ้าทรงใส่ลมปราณของพระเจ้าในตัวมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีของพระเจ้า (His dignity) อยู่ในตัว มนุษย์จึงมีสถานะสูงกว่าสรรพสัตว์ ปฐมกาล 2:7 “พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต”
เพราะมนุษย์มีความแตกต่างจากสรรพสิ่งอื่นๆ มนุษย์จึงเป็นผู้ที่มีความสำคัญ (Importance) และมีคุณค่า (Value) ในสายพระเนตรพระเจ้าเสมอ ปฐมกาล 1:26-27 “แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”
เราจึงต้องหาเวลาเงยหน้ามองฟ้า เหมือนกษัตริย์ดาวิด เพื่อจะได้สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา เหมือนกษัตริย์ดาวิดได้สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ ความเมตตาของพระเจ้าที่ทรงให้คุณค่า ให้ความสำคัญแก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยความรัก
เพราะพระเจ้าได้ประทานพระเกียรติยศส่วนหนึ่งของพระองค์ในตัวเรา พระเจ้าจึงไม่สามารถปล่อยให้เราตายจมปลักในความบาปอย่างไร้ศักดิ์ศรีและเกียรติยศของพระเจ้าได้ ทรงประทานพระเยซูคริสต์ในสภาพมนุษย์เพื่อสอนและทำความเข้าใจใหม่ให้เรา ทรงสละชีวิตที่ไร้มลทินไร้บาปเพื่อไถ่ชีวิตที่มีมลทินและบาปหนาของเรา ให้มนุษย์กลับไปมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีของพระองค์อีกครั้ง
มนุษย์ผู้ได้รับความรักและความเมตตาจากพระเจ้า จะต้องใช้ชีวิตอย่างรู้สำนึกว่า มีเกียรติยศและศักดิ์ศรีส่วนหนึ่งของพระเจ้าอยู่ในตัวของเรา และรู้ถึงพระคุณความรักที่มนุษย์ได้รับจากพระเจ้าโดยการไถ่จากบาปของพระเยซูคริสต์
พระเกียติยศของพระเจ้า (God’s majesty) เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ด้วยรักที่ยิ่งใหญ่จึงประทานพระเกียรติยศส่วนหนึ่งของพระองค์ให้แก่มนุษย์ด้วย เราจึงมีสถานะที่สูงกว่าสรรพสัตว์ทั้งปวง ฮีบรู 2:7 “พระองค์ทรงทำให้ท่านต่ำกว่าเหล่าทูตสวรรค์เพียงชั่วระยะหนึ่ง และพระองค์ทรงประทานพระสิริและพระเกียรติให้แก่ท่าน” มนุษย์จึงต้องมีชีวิตและใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ (Honor) และมีพระสิริ (Glory) ของพระเจ้าในชีวิต เราจึงต้องคิดและทำแต่สิ่งดีงาม เพื่อรักษาศักดิ์ศรี และพระเกียรติยศที่พระเจ้าประทานให้
ความเชื่อแบบเด็ก (Childlike faith) การมีชีวิตและใช้ชีวิตอย่างมีศักดิศรี และ เกียรติยศของพระเจ้า ต้องมีความเชื่อศรัทธาพระเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นความเชื่ออย่างไม่มีข้อกังวลสงสัยใดๆเลยเป็นความเชื่ออย่างเด็ก เพราะการที่เรามีความรู้มากขึ้น มีอำนาจมากขึ้น มีทรัพย์สินมากขึ้น มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของโลกเข้ามาห่อหุ้มชีวิตมากขึ้น สายตาของเราที่เคยมองพระเจ้าด้วยความบริสุทธิ์อย่างเด็กได้หายไป ความหลงในอัจฉริยะความเก่ง ความสามารถของตนเอง บดบังความยิ่งใหญ่และความรักของพระเจ้า
การทรงสร้างของพระเจ้า (His creation) ต้องสำนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง สดุดี 100:3 “จงรู้เถิดว่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า คือพระองค์เองที่ทรงสร้างเราทั้งหลาย และเราก็เป็นของพระองค์ เราเป็นประชากรของพระองค์ เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์” มนุษย์ต้องสำนึกเสมอว่า เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะพระเจ้าทรงสร้าง และเลี้ยงดูเรา พระเจ้าทรงประทานทุ่งหญ้าแห่งอาหารชีวิตให้แก่เรา ชีวิตของเราเป็นของพระเจ้ามีเพียงพระคุณความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เรามีชีวิตรอด ไม่ใช่ความรู้ เทคโนโลยี ความสามารถ ความมั่งคั่งร่ำรวยของมนุษย์ที่จะทำให้มีชีวิตรอด
สิทธิปกครอง (Dominion) พระเจ้าทรงสร้างโลกและทรงใช้อำนาจของพระองค์ในการครอบครองโลก แต่เพราะพระเจ้าได้สร้างมนุษย์และประทานเกียรติยศและศักดิศรีส่วนหนึ่งของพระองค์แก่มนุษย์ ทำให้เรามีฐานะต่ำกว่าพระเจ้าเพียงหน่อยเดียว พระเจ้าทรงไว้วางใจให้มนุษย์มีสิทธิในการดูแลสรรพสิ่งสรรพสัตว์ สดุดี 8:5-8 “เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา คือฝูงแกะและฝูงวัวทั้งสิ้น ทั้งสัตว์ป่าด้วย ตลอดทั้งนกในอากาศ ปลาในทะเล และอะไรต่างๆ ที่ไปมาอยู่ตามทะเล”
พระเจ้าได้อวยพระพรให้แก่มนุษย์ตั้งแต่แรกสร้างโลกแล้วมอบสิทธิให้ครอบครองสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งปวงของพระเจ้าเพื่อให้เกิดผลและเพิ่มผลอย่างทวีคูณ (Be fruitful and multiply) แต่วิธีการจัดการของมนุษย์ไม่ได้เป็นไปพระประสงค์ของพระเจ้า ความโง่เขลาและความโลภของมนุษย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดทำให้เกิดผลน้อยลงและสร้างปัญหาทวีคูณมากขึ้น เราจึงมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนทรัพยากรเกิดขึ้นทั่วโลก เกิดความอดอยาก กันดารอาหาร เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เกิดโรคระบาด เกิดการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากร เกิดมลพิษมลภาวะ สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม และอีกมากมายปัญหาทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งล้วนเป็นผลพวงจากความโง่เขลา และความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์ทั้งสิ้น
เราจึงต้องกลับมาทบทวนใหม่อีกครั้งว่า ทุกวันนี้เราได้ใช้สิทธิครอบครองโลกที่พระเจ้ามอบให้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่ เราได้บริหารจัดการทรัพยากรทั้งสิ้นของโลกอย่างถูกต้อง ให้เกิดผลทวีคูณเพื่อความผาสุกของมนุษย์ที่พระเจ้ารัก ตามที่พระเจ้าต้องการหรือไม่
พระเจ้ามอบสิทธิให้มนุษย์ครอบครองโลก แต่มนุษย์กลับถูกโลกครอบครอง
John Muir กล่าวว่า “God has cared for these trees, saved them from drought, disease, avalanches, and a thousand tempests and floods. But he cannot save them from fools.” พระเจ้าทรงห่วงใยต้นไม้เหล่านี้ ทรงรักษาต้นไม้ให้รอดจากความแห้งแล้ง จากโรคระบาด จากการพังถล่มทะลายของหิมะ และจากลูกเห็บนับพันห่าและน้ำท่วมบ่อยครั้ง แต่พระเจ้าไม่สามารถรักษาต้นไม้ให้รอดจากพวกคนโง่เขลาได้
มนุษย์คือผู้ใดเล่า?/p>