พระเจ้ามีจริงหรือ?
คำพยานชีวิตโดย พันเอก กานต์วิจิตร หุตะเจริญ
ผมเกิดในครอบครัวข้าราชการมหาดไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด
ผมและพี่น้องเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนระบบศาสนาคริสทั้งหมด (อัส ชัมชัญ และพระหฤทัยคอนแวนต์) ทุกโรงเรียนบังคับให้ยืนสวดอธิฐานก่อนเริ่มชั้นเรียนทุกวัน (ข้า แต่พระผู้เป็นเจ้า...) แต่ทุกคนก็ยังคงนับถือศาสนาพุทธ
ผมไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย อังกฤษ และอเมริกา และได้พบ ดร.ฉวีวรรณ สินอนุวงศ์ ตอนนั้น เธอได้ทุน กพ. มาทําปริญญาโท เธอเป็นคริสเตียนและไปโบสถ์อย่างเค่รงครัดทุกวันอาทิตย์ ซึ่ง ผมก็ตามไปตลอดเวลา แต่ไม่ได้คิดจะเข้ารีตประการใด จากนั้นมาเราแต่งงานกันตามพิธีการทางศาสนาคริสต์ มีบุตรสาวสองคน คนแรกนับถือศาสนาพุทธ คนที่สองเป็นคริสเตียน เราทุกคนสัญญากันว่าจะไม่กีดขวางกันเรื่องการนับถือศาสนา
ผมกลับมาเป็นทหารบก ดร.ฉวีวรรณ กลับมาทํางานใชัทุนที่กรมป่าไม้ ผมเกษียณอายุราชการที่ ระดับพันเอก ในตําแหน่งเสนาธิการประจําผู้บังคับบัญชา ดร.ฉวีวรรณ เป็นผู้อํานวยการกองระดับเก้า แต่ก็ยังคงต่างศาสนากัน หลังจากเกษียณอายุราชการ ผมเริ่มหันมาลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจําเป็นต้องใช้เงินกูุ้ธนาคารมาก ขณะนั้นมีที่ดินที่เป็นปัญหามีอยู่สามแปลง แปลงแรกเป็นที่ตาบอด (โดนหลอกเพราะสงสารเพื่อน) แปลงที่สองเป็นที่ในป่า เพื่อนอ้างว่าเป็นสวนมะขาม แปลงที่สามเป็นบ้านในสนามกอล์ฟ นักธุรกิจ ใหญ่ชึ้อไปโดยจ่ายเป็นงวด แต่ยังไม่จ่ายงวด 24% สุดท้าย มูลค่าทั้งหมดมากมาย และดอกเบี้ยมหาศาล และใกล้กําหนดที่จะโดนธนาคารยึด
ในปี พ.ศ. 2553 ประมานกลางปี ผมใด้มีโอกาสไปโบสถ์วัฒนากับภรรยา วันนั้นจึงได้เรียนขอพระเจัาว่า “กระผมขอความเมตตาพระองค์ทรงประทานของขวัญในวันคริสต์มาสนี้ เพราะกระผมรัก เทศกาลนี้มาก ถึงแม้ว่าจะนับถือพุทธก็ตาม คริสต์มาสเป็นเวลาที่มีความหมาย และมีความสุขมาก ของชาวคริสต์ที่กระผมเห็นมา”
- วันที่ 20 ธันวาคม 2553 คนที่หลอกขายที่ดินตาบอดส่งคนมาขอซื้อคืนในราคาที่ยุติธรรม
- วันที่ 22 ธันวาคม 2553 กรมที่ดินโทรศัพท์ให้มารับเงินส่วนเวนคืนที่ดินในป่าสวนมะขาม เนื่อง จากกรมชลประทานทําคลองส่งน้ำ พร้อมถนนคอนครีตผ่ากลางที่ดิน ทําให้กลายเป็นที่ดินติด ถนนพร้อมคลองทั้งสองแปลง ใด้ทั้งเงินเวณคืน และกลายเป็นที่ดินราคาสูงขึ้นโดยทันที
- วันที่ 24 ธันวาคม 2553 ญาติผู้ใหญ่ขอซื้อบ้านในสนามกอล์ฟเพราะต้องการอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ และขอให้ร่วมทําโครงการระดับใหญ่มาก
ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2553 เป็นต้นมาผมจึงเริ่มไปโบสถ์ และไปทุกอาทิตย์ จะขาดเฉพาะจำเป็น ผมยังไม่กล้านับถืืออย่างเต็มตัว เพราะผมได้ไบเบิลมาจากพี่สาวภรรยา แต่ยิ่งอ่านยิ่งเกรงว่าจะปฎิบัติไม่ใด้ครบ ตามพระธรรมบัญญัติ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมา โบสถ์วัฒนาจัดทัวร์ตามรอยพระคริสต์ที่อิสราเอล และจอร์แดน ผมไปเพื่อมีโอกาสใกล้ชิดศาสนายิ่งขึ้น
ทางคณะผู้จัดและพี่สาวภรรยาบอกว่า ผมน่าจะทําพิธีล้างบาปที่จอร์แดน เพราะเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่หาไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งผมก็ตกลงโดยไม่มั่นใจนักเพราะเกรงว่าจะปฎิบัติไม่ใด้ครบตามพระธรรมบัญญัติ สามวันก่อพิธี ผมหกล้มโดยไม่มีสาเหตุ หัวเข่าแตกเป็นแผลใหญ่ ลงไปในน้ำสงสัยโดนตัดขาแน่ หากแผลติดเชื้อ เพราะเป็นเบาหวานอยู่ แต่ผมตัดสินใจทําพิธี ลงไปในน้ำพร้อมผ้าพันแผล เมึ่อเสร็จพิธีแผลเปียกโชก แต่ก็ไม่เป็นไร แผลหายภายในสองอาทิตย์
ทุกครั้งผมจะอธิษฐานตามที่โบสถ์สอนให้อธิษฐาน แต่จะเพิ่มเติมลงไปว่า “ขอบพระคุญที่พระองค์ ใด้ประทานร่างกายที่แข็งแรง และปัญญาที่ดีในการดําเนินชีวิต กระผมจะพยายามจนถึงที่สุด อะ ใรจะเกิด พระองค์ใด้ทรงเมตตากําหนดใว้แล้ว ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ กระผม ยอมรับด้วยความเคารพบูชาและยินดี" เมื่อเวลาเกิดความวังเวงและหวาดกลัว ผมจะเพิ่มเติมว่า “ขอให้พระราชอํานาจของพระองค์จงศักสิทธิเหนือสิ่งเลวร้ายภูตผี และ ซาตานทั้งปวง อย่าให้มาทําร้ายกระผมได้ อาเมน” แล้วความสงบก็เกิด สภาวะที่ทําให้วังเวงจะหายไป ผมเชื่อว่า “พระเจ้ามีจริง” ผู้ที่ไม่เชื่อ ขอความกรุณาให้เหตุผลที่สามารถหักล้างเหตุการณ์ ที่ได้อ่านมาว่า “เป็นเหตุบังเอิญ” ได้ จะเป็นเหตุผลที่อัจฉริยะมาก
สําหรับผม ชีวิตใหม่ภายใต้การชี้นําของพระเจ้า เป็นชีวิตที่พระองค์ใด้ให้ไว้แล้ว ผมจะใช้มันให้มีประโยชน์กับทุกคน เมื่อถึงเวลาท่านจะเรียกเราไปรับใช้ ผมย่อมหลีกเลี่ยงไม่ใด้ และจะไม่หลีกเลี่ยง เพราะพระประสงค์ของพระองค์ เป็นสิ่งทื่ดีที่สุุดของผู้ที่เชื่อมั่นในพระเจ้าเสมอเพื่อพระประสงค์ของพระองค์
พันเอก กานต์วิจิตร หุตะเจริญ
14 กรกฏาคม 2556